การรับฟังเสียงผู้บริโภค (Voice of Customer) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจมักจะใช้เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่าง ‘โลตัส’ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เรียกว่ามีการปรับตัวในเรื่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจ อย่างที่มีการพัฒนาสินค้าจากเสียงของผู้บริโภคมาสู่แบรนด์ที่ชื่อว่า ‘คุ้มค่า’ เป็นสินค้า house brand ที่ผลิตมาเพื่อผู้บริโภค ทำให้ราคาเอื้อมถึงได้และมีคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน
เพราะคนไทยกังวล แบรนด์คุ้มค่าจึงเป็นทางเลือกใหม่
จากผลสำรวจของ สวนดุสิตโพล ที่ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 22-24 มี.ค. 2565 เกี่ยวกับปัญหาที่คนไทยหนักใจ อันดับแรก (89.73%) คนไทยหนักใจที่สุดเรื่องของแพง น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง ส่วนอันดับ 2 (80.97%) คนไทยกังวลเรื่อง ‘ทุกอย่างขึ้นราคา’ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่มาจากราคาของสินค้าที่แพงขึ้นทั้งสิ้น
สำหรับแบรนด์คุ้มค่ามองว่า จะเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกดีๆ ในราคาที่ทุกคนจับต้องได้ ซึ่งการปรับตัวของโลตัสครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามาจากความใส่ใจ ความเข้าใจในสิ่งที่คนไทยกังวล และพยายามทำให้เสียงของผู้บริโภคมีอิมแพ็คต่อการเปลี่ยนแปลงจริงๆ
ดังนั้น แบรนด์คุ้มค่าถือว่าเป็นโซลูชั่นอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ โดยสินค้าจากแบรนด์คุ้มค่าจะครอบคลุมทั้งของกิน-ของใช้ที่จำเป็นเกือบ 100 รายการ และจะมีราคาเริ่มต้นเพียง 8 บาทเท่านั้น โดยวางจำหน่ายในโลตัสทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ด้วย
คุณวรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส ได้อธิบายเพิ่มเกี่ยวกับแนวคิดนี้ว่า “จากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันประกอบกับการปรับขึ้นราคาสินค้า ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชนและต้นทุนของผู้ประกอบการขนาดเล็ก แบรนด์คุ้มค่า พัฒนาสินค้าอุปโภค–บริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันและเป็นวัตถุดิบสำคัญ ดังนั้น สินค้าจึงจะมีราคาที่คุ้มค่า และยังคงมาตรฐานด้านคุณภาพ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ”
โลตัสยังคิดไปถึงผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่คนทั่วไปไปจนถึง ผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ที่อาจได้รับผลกระทบในเรื่องต้นทุน วัตถุดิบของใช้ ดังนั้น คุณวรวรรณมองว่า แบรนด์คุ้มค่าจะเข้ามาช่วยในเรื่องการควบคุมต้นทุนสินค้าและต่อยอดเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้ต่อไป
โดยสินค้าของแบรนด์คุ้มค่าอย่างที่บอกไปว่ามีให้เลือกหลากหลาย และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของกินของใช้ที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ที่สำคัญราคาสุดคุ้มเพื่อช่วยผู้บริโภค เช่น
- คุ้มค่า น้ำยาล้างจานกลิ่นมะนาว 400มล. ราคา 8 บาท
- คุ้มค่า ซอสหอยนางรม 1 กก. ราคา 24 บาท
- คุ้มค่า ซอสพริกศรีราชา 750 กรัม ราคา 20 บาท
- คุ้มค่า ข้าวเสาไห้ 35% 5 กก. ราคา 95 บาท
- คุ้มค่า ผงซักฟอก 2,700 กรัม ราคา 89 บาท
- คุ้มค่า กระดาษชำระ 24 ม้วน ฟรี 6 ม้วน ราคา 93 บาท
- คุ้มค่า น้ำจิ้มไก่ 5 กก. ราคา 105 บาท
- คุ้มค่า ไส้กรอก 1 กก. ราคา 69 บาท
- คุ้มค่า ลูกชิ้นหมูผสมไก่ 900 กรัม ราคา 119 บาท
การตลาด Win-Win ผู้บริโภคแฮปปี้ SMEs ยิ้มได้
หากจะพูดว่า ‘คุ้มค่า’ เป็นแบรนด์แห่งโอกาสก็คงไม่ผิด เพราะว่าคอนเซ็ปต์ของโลตัสที่ยึดมาตลอดก็คือ การช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งเกษตรกรและ SMEs ให้เติบโตไปด้วยกัน ดังนั้น แบรนด์น้องใหม่อย่างคุ้มค่าจึงได้ DNA นี้มาแบบเต็มๆ
โดยคุณวรวรรณ เปิดเผยว่า ผู้ผลิตสินค้าแบรนด์คุ้มค่าส่วนใหญ่เป็น SMEs ของไทย หมายความว่าในทุกๆ การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เหมือนเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งรายเล็กและขนาดกลางให้เติบโตไปพร้อมกันด้วย เพราะสัดส่วนของ SMEs ไทยในปัจจุบันมีมากกว่า 95% ดังนั้น การสร้างรากฐานให้ SMEs แข็งแรงก็มีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อย
สำหรับมุมมองและที่มาของแบรนด์คุ้มค่ามองว่า เป็นการเข้ามาในตลาดที่ถูกจังหวะพอดีท่ามกลางวิกฤตราคาสินค้าหลายๆ อย่างที่เริ่มแพงขึ้น ขณะเดียวกันค่าครองชีพก็ปรับตัวสูงขึ้นตาม บางทีในแง่ของธุรกิจมันไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขัน หรือการแย่งส่วนแบ่งตลาด แต่มันอยู่ที่การเข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคให้ความรู้สึกว่าพวกเขามีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในชีวิต ซึ่งความพึงพอใจของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในเกือบทุกธุรกิจรวมทั้งธุรกิจรีเทลด้วย
ที่มา marketingoops.com